วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

เรียนภาษาเกาหลีที่ฉันคิด VS ความเป็นจริง

สวัสดีค่า

           มาแล้วเด้อออออออออ หายไปเป็นปี งมอยู่กับภาษาเกาหลีในความเป็นจริงที่แสนปวดร้าวอยู่ค่ะ
ช่างน่าเศร้า

หลังจากที่เราเรียนภาษาเกาหลีมาได้ 1 ปี เราก็ค้นพบว่า

มันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดเลยอ่ะแกร๊!!!!!!!!!!!!

            หลังจากที่เราตกลงเลือกมหาวิทยาลัย ซองกยูนกวานแล้ว การเรียนค่อนข้างเร็วมากๆเลยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าปกติเรียนภาษา คอร์สนึงจะ 3 เดือน แต่ที่นี่เรียน 2 เดือนใช่ไหมคะ ดังนั้นเราจะเรียนเร็วมากๆเลยค่ะ

เลเวล 1 เลเวล 2 ยังสนุกอยู่ค่ะ แบบ ว๊าย เรานี่คิดถูกที่มาเรียนภาษาเกาหลีแล้วอ่ะเธอ
ตอนนั้นแบบคิดในใจเห้อเรามาถูกทางแล้วล่ะ เรียนไปก็พูดคุยได้ อ่านป้ายข้างทงได้ นู้นนี่

เรียนที่เกาหลีที่เราไฝ่ฝัน เราต้องเข้ามหาลัยได้แน่เลย
อาจจะมีตรงคำศัพท์ใหม่ๆที่มันงงๆ เอาวะ ก็แค่ท่องศัพท์ จำศัพท์เอาก็ได้แล้ว อะไรแบบนี้
เพราะส่วนมากในบทควมที่เราไม่เข้าใจจะเป็นศัพท์ค่ะ


แต่.......มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ

พอเลเวล 3 เท่านั้นแหละค่ะ.....................


เลเวล 3 ของที่นี่ยากมากๆๆๆค่ะ คือถ้ไม่ตั้งใจเรียนก็ตายสถานเดียวนะคะ
แล้วเราก็ตายค่ะทุกท่าน กลับมาสู่ความจริงนะจ้ะ มันไม่ได้เหลือแค่ศัพท์ที่เราต้องจำจ้าาาาาาา

เรียนเลเวล 3 ไป
ซ้ำชั้นค่ะ

โอโหหหหหห ตอนที่รู้ว่าซ้ำชั้น เราแบบ เห้ย มันดูรุนแรงมากเลยอ่ะค่ะ
แบบในชีวิตนี้เรียนมาตั้งแต่เด็กเราไม่เคยซ้ำชั้นเลยนะเว้ย แต่มาเรียนเกาหลีคือซ้ำชั้น
ทำยังไงดี ไม่นะ เครียดมากค่ะ

แต่นะ ในห้องเราคนซ้ำชั้นประมาณครึ่งห้องอ่ะค่ะ

คือที่นี่คะแนนสอบต้องมากกว่า 70 เปอร์เซนต์ ค่ะถึงจะผ่าน การสอบจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ แกรมม่า กับฟังพูดค่ะ  โดยทั้ง 2 ส่วนเราต้องสอบให้ผ่าน 70 เปอร์เซนต์นะคะ ถ้าเกิดเราเก่งแกรมม่ามากๆๆๆๆ ได้ 90 แต่ฟังพูดได้ 60 ก็ตกนะคะ ต้องซ้ำค่ะ

ในส่วนเราก็เหมือนกันค่ะ ฟังพูดผ่าน แต่แกรมม่าตกค่ะ

ตอนนั้นเฟลมากเลยค่ะ เฟลจริงๆ แบบไม่อยากเรียนต่อแล้วค่ะ รู้สึกแย่มาก อยากกลับบ้าน
แต่พอมาคิดดูแล้ว มันก็เป็นเพราะเราเองที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เป็นเพราะภาษาเกาหลีเลย
คือภาษามันยากค่ะ ใช่ แต่เราเองก็ยังตั้งใจไม่พอ
เลยคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องสู้นะ อย่ายอมแพ้ ซ้ำชั้นช่างแม่ง เรียนต่อไปค่ะ
คิดในแง่ดีคืด เออ ถือว่าได้ทบทวนจะได้เข้าใจมากขึ้นค่ะ

สรุปซ้ำชั้นไปค่ะ ทำใจยอมรับ

ทีนี่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับอีกคือ ใช่ว่าเรียนเลเวล 3 แล้วสอบโทปิกจะได้เลเวล 3 นะคะ
เราลองสมัครสอบค่ะ (รายละเอียกกรสมัครสอบโทปิกเดี๋ยวเรามาโพสต์นะคะ)

ไปสอบที่มหาวิทยาลัย ดงกุกค่ะ
แม่งเอ้ย

ยากโคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

อ่านไม่รู้เรื่องสักตัวค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิดค่ะ
ฟัคยูววววววว

ผลสอบ ได้เลเวล 0 ค่ะ
555555555555555

คือเราสอบโทปิค 2 ค่ะ มันเป็นของระดับ 3-6 ค่ะ
คะแนนเราไม่ถึงระดับ 3 ก็คือโดนตัดไปเป็นระดับ 0 เลยค่ะ

ตอนนี้แผนเปลี่ยนหมดเลย

  1. จากตอนแรกเราจะยื่นเข้ามหาลัยกันยายนปีนี้ เปลี่ยนเป็นต้องยื่นมีนาคมปีหน้า 
  2. ระยะเวลา 1 ปี เรียนโทปิกให้ถึงเลเวล 6 น่าจะสอบให้ผ่านเลเวล 3-4 ก็กลายเป็นตอนนี้เรียนถึงแค่เลเวล 5 สอบยังไม่ได้เลเวล 3เลย
  3. จากที่คิดว่าโทปิดเลเวล 3 โดยปกติขั้นต่ำเลเวล 3 คือเข้ามหาลัยได้ แต่คณะที่เราจะเข้าดันพิเศษค่ะ พอได้มีโอกาสถมทางมหาวิทยาลัย ไปดูคณะของดงกุกที่จะเข้า คือคณะ digital convergence ต้องใช้โทปิกเลเวล 5 ขึ้นไป เท่านั้นค่ะ ถ้าได้ต่ำกว่านี้ไม่มีสิทธิเข้าค่ะ
  4. การใช้ชีวิตคนเดียวปัญหาค่อนข้างเยอะค่ะ ยิ่งเราอยู่ในประเทศที่เขาไม่พูดภาษาอังกฤษแล้วด้วย......
  5. สำหรับเรา การดูวาไรตี้และรายการต่างๆรวมถึงซีรี่ย์บางเรื่องของเกาหลี ช่วยเรื่องภาษาเกาหลีจริงค่ะ แต่ไม่ช่วงเรื่องการทำข้อสอบค่ะ ต้องซื้อหนังสือมาฝึกทำเหมือนตอนเอนทรานซ์ที่ไทยเลยค่ะ
  6. ถ้าจะเรียนอินเตอร์ ไอเอล 7 ค่ะ เยอะกว่าไปเรียนอังกฤษอีกเด้อ อังกฤษนี่ 6.5 เองนะจ้ะ และเรียนอินเตอร์โทปิกก็ต้องเลเวล 3 ค่ะ อีกอย่างมาเรียนเกาหลี แต่จะเรียนอินเตอร์ก็กลับไเรียนไทยดีกว่า (จุดประสงค์ที่เรามาเพราะด้านที่เราจะเรียน เกาหลีมันค่อนข้างจะโอเคกว่าที่อื่นอ่ะ และเราก็จะต่อยอดการทำงนด้านบันเทิงและ new media อยู่แล้ว ถ้าเรียนอินเตอร์คือบริหาร ไม่เอาดีกว่าค่ะ)


ตอนนี้เราอยู่เลเวล 5 ค่ะ อยู่ในช่วงแบบ
กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง

แบบนี้เลยค่ะ 555555555555



ดังนั้น ใครที่คิดจะมาเรียนที่เกาหลี ก็คิดดีๆนะคะ
เพราะภาษามันยากจริงๆ และที่เรามาเรียนเพราะเราได้ทำงานที่ไทยและได้รู้จักกับบริษัทเกาหลี 
ทำงานคลุกคลีกับเกาหลีมาอยู่แล้ว 
ถ้าเรียนด้านมีเดียและได้ภาษาด้วยเรากลับไปใช้ทำงานต่อได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ได้มีโอกาสได้ทำงานกับเกาหลี เราก็คงไม่มาเรียนที่นี่ค่ะ คงไปเรียนอเมริกาไม่ก็อังกฤษดีกว่าอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนภาษาตั้ง 1 ปีแหนะ ฮ่าาาาาาาา

วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเขียนเยอะไปจะขี้เกียจอ่านกัน 55555
ใครมีคำถมเม้นทิ้งไว้ได้นะคะ หรือถ้าจะตามมาที่เพจหรือทวิตเตอร์เราก็ได้ ทวิตเตอร์เราก็จะติ่งๆหน่อยๆอ่ะค่ะ 5555555555555 ทักมาอาจจะตอบช้าบ้างเพราะแอพมือภือเรามันไม่ค่อยเตือนอ่ะค่ะ แหะๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ


twitter TWITTER
อย่าลืม like Facebook Fanpage กันน้า monsterinkorea


วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การทำวีซ่าที่ประเทศเกาหลี

ฮัลโหลลลล
         มาแว้วววววว เพิ่งได้อัพ พูดถึงเรื่องการทำวีซ่า ย้อนไปประมาน 6 เดือนที่แล้วได้ TT TT
ในกรณีเรามาทำวีซ่าที่เกาหลีค่ะ ไม่รู้ว่าง่ายกว่าไทยหรือยากกว่านะคะ แต่ว่าถ้าเอกสารไม่มีปัญหา ก็จะได้ทั้ง วีซ่าและเอเลี่ยนการ์ดด้วยด้วยเลยค่ะ

แต่แต่แต่แต่ แนะนำว่าก่อนไปทำวีซ่า ให้หาที่พักที่เราจะพักก่อนไปทำนะคะ การหาที่พักเด๋วเจอตอนหน้าละกันเด้อ

เอกสารที่ต้องเตรียม(ยุ่งยากน้อยกว่าประเทศไทยนะเราว่า)

  1. พาสปอร์ต
  2. สำเนาพาสปอร์ต
  3. เอกสารรับรองทางการเงิน (ของครอบครัวก็ได้ค่ะ) เผื่อไว้ๆ
  4. เอกสารรับรองการเข้าเรียน
  5. ใบเสร็จรับเงินจากทางมหาลัย
  6. แบบฟอร์มยื่นวีซ่า
  7. รูปถ่าย 2 ใบ
  8. สัญญาที่พัก (อ่านเรื่องการหาที่พัก)
  9. ใบตรวจวัณโรค**** (อันนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เอามาจากไทยไม่รับนะจ้ะต้องเฉพาะที่โรงพยาบาลเกาหลีเท่านั้น)
         จริงๆแล้วเอกสารที่เรายื่นไปในตอนแรกเยอะมาก เหมือนตอนที่จะยื่นที่ไทยนี่แหละค่ะ
มีทั้งรับรองอาชีบพ่อแม่ ประกันสุขภาพ หลักฐานการเงิน statement พาสปอร์ตพ่อแม่ letter of guaratee 

        ก่อนที่เราจะไปทำวีซ่าที่เกาหลีนะคะ เนื่องจากเราเรียนที่ SKKU อยู่เขตจงโน จำเป็นต้องจองที่ก่อนนะคะ อันนี้าสำคัญมาก ถ้าไปแต่ไม่ได้จองที่นี่ ไม่ได้ทำนะคะ สามารถเข้าไปจองได้ที่ http://www.hikorea.go.kr ค่ะ 
แต่จะบอกว่าถ้าคุณใช้คอม mac คุณจะไม่สามารถเปิดเวบห่าอะไรของเกาหลีได้เลยจ้า ใครที่ใช้ Mac เช่นเรา ก็มีไว้แค่ใช้พิมพ์งานกะดูซีรี่ย์ ฟังเพลงเท่านั้นจ้ะ (ล้องไห้)
ต้องใช้คอม PC ในการจอง เราเลยไปจองที่ห้องสมุดมหาลัยค่ะ เนื่องจากตอนนี้เราใช้ mac พิมพ์ เราเลยไม่สามารถ แคปตัวอย่างหน้าจอตอนจองมาให้ได้ TT TT แต่ว่าในเวบมีภาษาอังกฤษนะคะ และมีวิธีการจองแธิบายไว้อีกด้วย

เมื่อทำการจองวันที่และเวลาในการไปทำวีซ่าเรียบร้องแล้ว

         เราขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าให้ไปก่อนเวลาสัก 15 นาทีเพราะเกาหลีเขาค่อนข้างตรงเวลามาก ถ้ามาไม่ตรงเวลา ข้ามเลย แล้วถ้าเกิดว่าจองทำไปแล้วไม่มาเกิน 3 ครั้ง จะไม่มีสิทธิในการจองรอบต่อไปนะคะ เพราะฉะนั้น จองแล้วต้องไปนะยูว ต่อให้ไปสายให้โดนด่าแต่ก้ไปแม่งเหอะ (นี่เคยโดนมาแล้วค่ะ)

         ไปถึงปุ๊บเราก็ยื่นเอกสารทั้งหมดทั้งมวลที่คิดว่านางจะใช้ (คือจากที่อ่านของกงศุลที่ไทยคือเมิงให้กูเตรียมเยอะมาก ประหนึ่งเข้าเกาหลีเหนือ)

         พนักงานสาขานี้พูดจีนได้ แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะคะ 555555 ถ้าโชคดีเจอครพูดอังกฤษได้ก้ยินดีด้วยค่ะ พอดีเราโชคดี เจอคนพูดอังกฤษได้นิดหน่อย พอยื่นเอกสารไป นางก้ดูๆ เลือกๆ แม่งงงงงงง คือเมิงเลือกแค่ ใบกรอกแบบฟอร์ม สำเนาพาสปอร์ต เอกสารของมหาลัย สัญญาที่พัก ที่เหลือคืนกูหมดเลยจ้า แต่ที่ติดปัญหาคือ!!! ใบตรวจวัณโรคค่ะ เราตรวจมาจากโรงพยาบาลที่กรุงเทพที่เป็นโรงพยาบาลที่กงศุลรับรองแล้วด้วยนะ แต่นางบอก ไม่ได้!!  ยูต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเกาหลีเท่านั้น แล้วนางก็เชียนอะไรสักอย่างเป็นภาษาเกาหลีแล้วบอกว่าไปโรงพยาบาลแล้วยื่นอันนี้ให้เขา สงสัยมานน่าจะเปลว่า ตรวจวัณโรค เพื่อทำวีซ่ามั๊ง (พ่องตาย) สุดท้ายโดนคืนเอกสารมาแบบไม่ได้ห่าไรติดตัวเลยค่ะ 55555555

        กลับบ้านมาก็เริ่มเครียด อิเหี้ยจะไปตรวจที่ไหนวะ มีโรงพยาบาล Seoul national University Hospital อยู่แถวบ้านแต่แพงเหลือเกินจะรับไหว คือกงศุลนางบอกว่า จะไปตรวจห่าเหวที่โรงบาลอะไรก้ได้ ขอแค่อยู่ในประเทศเกาหลี เราเลยเสิจไปเสิจมา เข้า daum map แล้วลองหาคลินิคเล็กๆ ที่มีตรวจวัณโรค เจอโรงพยาบาลของจงโนพอดีค่ะ ซึ่งดูแล้วท่าทางไม่แพง อิอิ เราลองเข้าไปดูในเวบของเขตจงโนดูเพื่อหาข้อมูล เวบจงโน แล้วก้เลยเจอโรงพยาบาลเหมือนจะเป็นคลินิกมากกว่าแถมไม่พูดเกาหลีด้วยนะคะ พอไปถึงแบบงงๆ ยังดีที่ป้ายมีภาษาอังกฤษ

สถานที่อยู่แถวเคียงบกกุงค่ะ




หน้าตาโรงบาลค่ะ


          เข้าไปก็เอ๋อๆ ยื่นใบที่กงศุลเขียนให้ส่งให้เขา เขาก็ขอพาสปอร์ต แล้วก็ให้เรากรอกประวัติ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร บลาๆ เสร็จปุ๊ปก็ให้บัตรคิวมาเลยค่า ไม่ต้องพบหมอทั้งสิ้น เข้าไปสแกนปอดเลย สแกนเสร็จเขาก็จะให้ใบบอกวันที่ให้มารับผล ราคาเบ็ดเสร็จ 1500 วอนจ้า อิห่ากูตรวจที่ไทย 1500 บาท 

         พอรับผลก็จองวันที่ไป immigration office ค่ะแล้วยื่นเอกสาร ตอนนั้นพนักงานเอาแค่
  1. แบบฟอร์มยื่นวิซ่า
  2. รูปถ่าย
  3. ใบตรวจวัณโรค
  4. เอกสารจากมหาลัย
  5. สัญญาเช่าบ้าน
         แค่นั้นเองที่เหลือที่เตรียมมา เอกสารการเงิน ใบรับรองที่ทำงานพ่อแม่ ประกันสุขภาพ คืนมาหมดเลย คือเราคิดว่าทำที่เกาหลีแค่มีเอกสารจากมหาลัยจะง่ายขึ้นค่ะ เพราะตอนเราสมัครเข้ามหาลัยแน่นอนว่าเราก็เตรียมเอกสารยื่นไปเยอะเหมือนกัน กงศุลเองก็คงทราบและสามารถโทรเช็คได้แหละมั๊ง

          เสร็จปุ๊บ เขาก็ให้เราไปจ่ายเงินค่าทำวีซ่ากะค่าทำบัตร Alien Card ค่ะ ราคาแพง(ชิบหาย) แลยจ้า รวมๆแล้วประมาณเกือบ 200,000 วอน ใครที่ไม่อยากเสียตังก็ทำที่ไทยไปนะคะ 555555 แต่ว่าถ้าทำวีซ่าที่ไทย ยังไงก็ต้องมาทำ Alien Card ที่เกาหลีอยู่ดีนะ
          หลังจากนั้นก็เอาใบเสร็จไปให้ที่เค้าเตอร์ เขาจะให้เราสแกนลายนิ้วมือ แล้วให้ใบแจ้งวันที่มารับบัตรค่ะ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย และระกว่าที่เรารอรับบัตรเราห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศเด็ดขาดค่ะ ซื่งตัวเราเองก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วไง พอได้บัตร Aliend Card ปุ๊ป ทุกอย่างคือดีเลยค่ะ ไม่ต้องพกพาสปอร์ตอีกต่อไป!! สมัครสมาชิกเวบก็ได้ เปิดบัญชีธนาคารก็ได้ เปิดเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ กลายเป็นว่ามีทุกอย่างครบเรียบร้อยเหมือนอยู่ประเทศไทยนั้นเอง เฮ!!! แม้จะยุ่งยากหน่อย แต่พอได้บัตรแล้ว ทุกอย่างก็คลี่คลายค่ะ อิอิ

          วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวโพสหน้าเรามาพูดเรื่องการหาที่พักของเราค่ะ ลำไยไม่แพ้กันค่ะท่านผู้ชม 5555 ใครมีคำถามถามทิ้งไว้ได้นะคะ ถ้าว่างจะรีบตอบแน่นอน 

อย่าลืมไปกดไลค์เพจเราด้วยน้า monsterinkorea


วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

และแล้วก็เกาหลี

          ห่างหายไปนาน ไม่ได้อัพเลยจ้าา นี่เพิ่งได้มาเขียนตอนที่อยู่เกาหลีแล้ว ฮืออออ ซอรี่

ฮัลโหลลลลลลลลล 555555
มาต่อเรื่องการเรียนมหาลัยบ้าง
ทั้ง 2 มหาลัยรับเราแล้วค่า
อีฮวานี่ตอบเร็วมากมาย แต่ซองแดนี่ 1 อาทิตย์เต็มค่ะ อห.

การโอนเงินค่าเรียน


          ขั้นตอนต่อไป หลังจากทางมหาลัยรับแล้ว เราก้รีบโอนเงินค่าเรียนให้ทางมหาลัยด่วนค่ะ
ของเราโอนผ่านธนาคาร tmb เป็นเงินไทยนะ แล้วทางธนาคารจะจัดการคำนวนเงินว่าเราต้องจ่ายเงินไทยเท่าไหร่ เรทเงินตามธนาคาร

แต่จะมีปัญหานิดหน่อยตรงที่เราไม่รู้ว่าเงินเราที่ไปถึงปลายทาง เรทค่าเงินในวันนั้นมันจะเผฝป็นเท่าไหร่ และธนาคารทางนั้นจะเก็บค่าธรรมเนียเราเท่าไหร่ แตาไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะถ้าเงินเกินหรือขาด ทางมหาลัยจะส่งเมลมาบอก

อย่างกรณีเราเงินขาดจ้า เขาก้ส่งเมลมาบอกว่าขาดเท่าไหร่ ให้จ่ายหลังจากเริ่มคลาสไปแล้ว ภายใน 5 วัน

แล้วนางก็จะส่งจดหมายรับรองการเข้าเรียนกับใบเสร็จมาให้ค่ะ แต่ตัวจริงต้องไปเอาที่ออฟฟิซมหาลัยหรือให้เขาส่งมาให้ที่บ้านก้ได้นาจา

ตรงนี่หากใครได้รับเมลตอบรับแล้วมีเวลาทำวีซ่าที่ไทยก็ให้ทางมหาลัยส่งจดหมายฉบับจริงมาให้ได้เลยค่ะ

แต่เราต้องไปเรียนที่อีฮวาก่อนเลยทำวีซ่าที่ไทยไม่ทัน เชี้ยยย หรือนี่ชั้นต้องไปเรียนที่อีแดก่อนแล้วต้องบินกลับมาทำวีซ่าที่ไทยวะ เปลืองไปอีก

แต่!!! มีทางแก้ค่ะ

          ทางมหาลัยบอกว่าเราสามารถไปทำวีซ่าที่เกาหลีได้!! แอบบอกว่าทำที่เกาหลีง่ายกว่าไทยอีกนะ แต่ราคานี่โหดขิงๆค่ะ (เรื่องวีซ่าและปัญหาในการทำนี่เด่วมาเล่า มันหลายสิ่งมากกกกกก) แต่พอทำแล้วก้สบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ อิอิ

ทีนี้เราก้เตรียมตัวไปเกาหลีเย้ จัดกระเป๋า บลาๆๆๆ เรื่องจัดกระเป๋าขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ น่าจะทำกันเองได้เนาะ ไปเกาหลีรอบแรก พ่อแม่เราไปส่งด้วยจ้า คุณอาด้วย เอาเปนว่าไปทั้งครอบครัว แถมอยู่เกือบเดือนงี้ คือไปเที่ยวกันก่อน เลยพักโรงแรมกันก่อนประมานสองอาทิตย์ เพื่อช่วยเราหาที่พักตอนเริ่มเรียนภาษา

หลังจากนี้ก็เป็นการใช้ชีวิตที่เกาหลีแล้ววว 
เด๋วมาอัพต่อแน่นอน แต่ตอนนี้ ไปเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบแปรปปปป

มีอะไรถามมาได้นะคะ เราจะพยายามตอบน้า
อย่าลืมกด like Facebook Fanpage ด้วยน้าาาา (มีคนกดประมาน 5 คนได้มั๊งน่ะ)
LittleMonster


วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรียนภาษาเกาหลีที่ไหนดีนะ 2

กลับมาแล้วจร้าาาาาาา
จากโพสที่แล้วที่พูดถึงมหาวิทยาลัยสอนภาษาเกาหลีที่ประเทศเกาหลี ตามไปดูได้ที่
เรียนภาษาเกาหลีที่ไหนดีนะ 1

มาวันนี้นะคะ เราได้เลือกมหาลัยที่อยากเรียนเรียบร้อยแล้วว
นั่นก็คือ มหาวิทยาลัย ซองกยุนกวาน หรือ Sungkyunkwan University นั้นเองงงง

SKKU เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ เป็นมหาลัยแห่งแรกในเกาหลี
มีมาตั้งแต่สมัยโชซอน  ก่อตั้งเมื่อปี 1398
ปัจจุบันมหาลัยนี้อยู่ในอุปการะของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครๆก็รู้จักกันทั่วโลก
คือบริษัทซัมซุงนั่นเองค่ะ

เป็นมหาวิทยาลัย ท็อป 10 ในประเทษเกาหลี ติดอันดับที่ 17 ของเอเชีย และอันดับที่ 118 จากอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกโดย the QS worldwide university rankings 

และเมื่อปี 2013 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยซองกยูนกวาน วิทยาเขตซูวอน จังหวัดคยองกี อ้างอิงจากข่าว SKKU

และที่เลือกมหาลัยนี้อีกนอกจากเป็นที่ยอมรับเรื่องภาษาพอๆกับยอนเซ และตารางเรียนที่หนักพิเศษกว่าชาวบ้านมหาลัยอื่นๆ ก็คือไม่ค่อยมีคนเอเชียเรียนเท่าไหร่ ประมาณว่าคนเรียนน้อยค่ะ อาจเพราะมันไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองอย่าง ซอกัง ยอนเซ หรืออีฮวา นั่นเอง 

และมหาลัยนี้เรื่องเยอะพอสมควรค่ะ requirement เอกสารเยอะมากกว่าที่อื่นยังไงไม่รู้
อีเมลไปกว่าจะตอบก็ช้ามากกกกกกกก แถมโบราณสุดๆคือต้องส่งใบสมัครผ่านไปรษณีย์เท่านั้น อีผี!!! 
ที่อื่นเขาส่งกันอัพโหลดเป็น Online application กันทั้งนั้น แถมในข้อจำกัดมันบอกอีกนะว่าต้องส่งภายในเวลาที่เปิดรับสมัครเท่านั้น คือเปิดโคตรใกล้อ่ะ กว่าจะส่งกว่าจะตอบรับ กว่าจะจ่ายตัง แม่งทำวีซ่าอีก มันทันไหมล่ะ 

เราก็เมลล์ไปเยอะมากค่ะ เป็นสิบๆ เมลเลย 
เรื่องการลงเรียน ได้ความว่าต้องส่งใบสมัครผ่าน Post เท่านั้น และเอกสารทั้งหมดที่ส่งมาจะไม่ได้คืนค่ะ
และถ้าต้องการทำวีซ่า D-4 ต้องสมัคร 2 Sessions ขึ้นไป ซึ่งเรากะสมัคร 3 Sessions อยู่แล้ว
เราเลยสรุปไปให้นางว่าเอกสารที่ต้องส่งสมัครมีอะไรบ้าง รายละเอียดตาม LINK นี้เลย

เอกสารสำหรับการสมัคร

1. ใบสมัคร (สามารถดาวน์โหลดได้)
2. ใบเรียนจบของมหาวิทยาลัยที่เรียนล่าสุด ตัวจริง
3. Transcript ตัวจริง
4. สำเนาสูติบัตร พร้อมแปลภาษาอังกฤษ
5. สำเนาพาสปอร์ต
6. ภาพถ่าย 4 สี 3x4 CM
7. สำเนาบัตรประชาชนตัวเองและพ่อแม่ พร้อมแปลภาษาอังกฤษ
8. An original bank certificate of deposit balance (หนังสือรับรองบัญชีเงินฝาก) ภาษาอังกฤษออกโดยธนาคารเจ้าของบัญชี โดยต้องมีเงินในสมุดบัญชีไม่ต่ำกว่า 9,000 USD
9. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากทุกหน้า

*ข้อ 8 และ 9 จะเป็นของเราหรือของพ่อแม่เราก็ได้ค่ะ
**ข้อ 2,3,4 และ 7 ต้องได้รับการรับรองเอกสารจากกงศุลต่างประเทศและสถานฑูตเกาหลีด้วยนะคะ

ทั้งหมดมีเท่านี้ค่ะ แต่ทางมหาลัยส่งกลับมาว่า ยูต้องมีข้อง 10 ด้วยนะ นั่นก็คืด Letter of Korean sponsor(s) in Korea.

What The Fxxxxxxx!!!! 
บ้าหรือเปล่า บ้าไปแล้ว
จะไปหาสปอนเวอร์ที่เป็นคนเกาหลีและอาศุยอยู่ที่เกาหลีได้ยังไง บ้าเหรอ
นึกออกใช่ป้ะ ลองคิดดูค่ะว่าถ้าคุณกำลังจะไปเรียนเมืองนอกประเทศใดก็แล้วแต่ คุณจะไปรู้จักคนประเทศนั้นได้อย่างไร ถึงรู้จัก เขาก็ไม่เซ็นเป็น Sponsor ให้หรอกป้ะ
เพราะมานคือ Letter of guarantee ข้อตกลงว่าถ้าเราทำผิดกดหมายเกาหลี หรือไม่มีเงินที่จะเรียนต่อ คนๆนั้นจะรับผิดชอบ อารมณ์เหมือน Guardian อ่ะค่ะ

จะมีไหมละคะ มีเพื่อนมีคนรู้จักเป็นคนเกาหลีค่ะ แต่เขาไม่มาการันตีให้กูหรอกไหม เกิดไรขึ้นทำไมต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่ญาติสักหน่อย
เลยส่งกลับไปค่ะว่า สปอนเซอร์ของกูเนี้ยคือพ่อแม่ และกูเปนคนไทย ฉะนั้นพ่อแม่กูเนี้ยก็เป็นคนไทย ส่งกูเรียนมาตั้งแต่ประถมแล้ว กูจะไปหาคนเกาหลีจากไหน เข้าใจผิดหรือเปล่า ใช้พ่อแม่เซ็นฟอร์มนี้ได้ไหม และแนบพาสปอร์ตไป และให้กงศุลกับสถานฑูตรับรอง

นางตอบกลับมาว่า ถ้าทำแบบนั้นเอกสารการสมัครของเราจะไม่สมบูรณ์ มีผลต่อการคัดเลือกของคณะกรรมการ *พ่องงงงงงงงงสิ

เราเลยหาที่เรียนใหม่ไว้เผื่อเลยค่ะ 555
และหาข้อมูลทุกอย่าง ถามจากเอเจนซี่ คิดในใจว่าทำไมต้องใช้ว่ะ แบบนี้จะมีใครไปเรียนมหาลัยเมิงไหมล่ะ แต่ก็ค่ะ ด้วยความที่พอเห็นแบบนี้กูยิ่งต้องเข้าเรียนที่นี่ให้ได้!!!! เพื่ออนาคตของกู ไม่งั้นต้องเรียนช้อไปอีกครึ่งปีเลยนะเฟร้ยยยย!!!

ทุกเอเจนซี่ที่ถามตอบกลับมาหมดเลยค่ะว่า สงสัยเป็นกฎใหม่เพิ่งเพิ่มมา แหมอะไรจะซวยขนาดนี้ เราเลยไปตามดูรายละเอียดต่างๆ ของการทำวีซ่า กดหมายการทำวิซ่าเกาหลี ทั้งหมด (มีประมาณ 20 หน้า) และทำให้เราสรุปได้ว่า อี Letter of guaratee เนี้ย มันคือคนการันตีเรา แต่ไม่ต้องเป็นคนเกาหลีก็ได้ และไม่ต้องอยุ่เกาหลีก็ได้ คือ พ่อแม่เรานี่แหละค่ะ เพียงแต่ให้แนบหลักฐานทางการเงิน และการทำงานไปด้วยค่ะ เช่นคนที่การันตีเราทำงานอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ต้องมีแนบมาและต้องรับรองจากกงศุลอีกเช่นเคย และประจวบเหมาะที่เอเจนซี่ชื่อดังแห่งนึงตอบอีเมลลมาพอดีค่ะว่า คนการันตีไม่จำเป็นต้องเป็นคนเกาหลีค่ะ สามารถให้พ่อแม่ได้ จบ

แอดมินมหาลัยนี้ดูงงๆ ไม่เข้าใจ ไม่ดูแลเลย แย่มาก แต่ทำไงได้ ยังไงก้ต้องเรียนที่นี่ ไม่งั้นอาจจะเข้ามหาลัยไม่ทันปีหน้าก็เป็นได้ เอาล่ะ

สรุปเอกสารที่เพิ่มมาก็คือ

1. หนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัท (กรณีที่พ่อแม่เราเป็นเจ้าของธุรกิจ) หรือหนังสือรับรองการเป็นพนักงานพร้อมเงินเดือนที่ได้รับ
2. สำเนาพาสปอร์ตของผู้การันตี
3. แบบฟอร์ม Letter of Guarantee. หรือ Letter of Sponsorships.

* ทั้ง 3 อย่างนี้ต้องให้กงศุลและสถานฑูตรับรองเอกสารและประทับตราด้วยนะคะ และให้แนบไปพร้อมกับ Statement ของบัญชีที่เราจะยื่นนะ

ทีนี้ก็ทำการเตรียมเอกสารค่ะซึ่งเรามีครบทุกอย่างแล้วค่ะ
โดยแผนของเราก็คือ จะเรียน Short-course 3 weeks ก่อนค่ะ เริ่ม 1 ส.ค. 59
แล้วค่อยเริ่ม Regular course อีก 3 เทอม เริ่มกันยา และจบเทอม 3 ที่ 24 กุมภา 2017
ตอนนั้จะลองสอบโทปิกและยื่นทุน KGSP อีกครั้งดูค่ะ ถ้าไม่ได้ก็เรียนเองแบบเสียเงินนี่แหละค่ะ 555
โดยเราคิดว่าจะเรียนช่วง Spring Semester ค่ะ
มหาลัยอะไรเดี๋ยวว่ากันอีกที ตอนนี้ดู Dongguk University กับ Korea University ไว้ค่ะ
แต่ถึงตอนนั้นเดี๋ยวเราค่อยคิดก็ได้เนาะ 555555

Short Course เราเลือกเรียนที่เดียวกับ regular ค่ะ คือ SKKU นั่นเอง
จริงๆอยากเรียนซอกังนะแต่มันไม่มีค่ะ ฮาา



ค่าเรียน Short Course คือ 710,000 KRW ค่ะ ไม่รวมค่าหนังสือเรียน
เริ่มเรียน 1 Aug - 22 Aug 2016 ค่ะ

ตอนนี้เอกสารรอ Statement ขอผู้ปกครองอย่างเดียวค่า
แล้วก็ไปรับรองเอกสารทั้งหมดที่กงศุล และสถานฑูต
สุดท้ายถ้าเอกสารมีปัญหาอะไรก็คงไปเรียนที่ซอกังแระ เหนื่อยกะมัน ฮ่าๆๆๆ

ไว้ถ้าผ่านหรือไม่ผ่านยังไง และสรุป ได้ไปเรียนที่ไหนจะมาเล่าให้ฟังในโพสหน้านะจ้าาาา
อย่าลืมกด like Facebook Fanpage ด้วยน้าาาา
LittleMonster

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เรียนภาษาเกาหลีที่ไหนดีนะ

มาต่อกันแล้วค่าา

        โพสนี้ยาวหน่อยนะคะ จะพูดเรื่องที่เรียนภาษาเกาหลีนะคะ หลายคนอยากเดิอนทางไปเกาหลีเพื่อเรียนภาษาเกาหลีแต่ไม่รู้ว่าจะเรียนที่ไหนดี มหาลัยอะไรสอนดีนะ แล้วเราจะลงคอร์สอะไรดีละ แต่ละที่หลักสูตรไม่เหมือนกันยังไง? เท่าที่หลายๆคนรู้จักมหาวิทยาลัยที่เกาหลี หลายๆคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว สถาบันเรียนภาษา มีคอร์สภาษาที่คนต่างชาตินิยมเรียนก็จะมี

มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล(Seoul National University) 
มหาวิทยาลัยโคเรีย(Korea University) 
มหาวิทยาลัยยอนเซ (Yonsei University) 
มหาวิทยาลัยซอกัง (Sogang University) 
ซองกยุนกวาน (SKKU) 
มหาวิทยาลัยคยองฮี (Kyunghee University) 
มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ewha woman University) 

               แต่ละที่ก็มีความโดดเด่ดด้านภาษาไม่เหมือนกัน แต่ที่เราได้สืบเสารหาข้อมูลบวกกับได้ปรึกษาหลายๆคนทั้งคนที่เรียนภาษาอยู่ที่นั่น คนที่เรียนปริญญาอยู่ที่นั่น หรือนักเรียนทุนบางคน คนต่างชาติที่ไปเรียนที่เกาหลี(ไม่ใช่แค่ประเทศไทย) และหลายๆคนที่ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย ทั้งคนไทยและคนเกาหลี ทำให้เราสนใจและเจาะจงหาข้อมูล อีเมลลไปถามแค่เพียงไม่กี่มหาลัยเท่านั้น

               สำหรับเรา มหาลัยแห่งชาติโซล มหาลัยโคเรีย เราไม่เลือกแน่นอน เพราะรู้เลยว่าคนที่เรียนที่นั่นจะมีความเนิร์ดสูง มีแต่คนเก่งๆ คือเข้าใจแหละว่าพวกที่อยู่มหาลัยนี้เก่งชัวร์ แต่เราไม่รู้ว่าด้านการสอนภาษาเขาดีระดับไหน มหาลัยอีฮวานี่ก็ตัดออกเลยค่ะ เพราะเราไม่ชอบสังคมค่ะ เคยไปอยู่แล้วแบบ ชะนี๊ ชะนีเกาหลีเลย คนที่เรียนที่นั่นที่เรารู้จักไม่มีใครแนะนำให้มาเรียนที่นี่เลยยค่ะ 55555 ไม่เข้าใจเหมือนกัน ส่วนมหาวิทยาลัยคยองฮีก็สองจิสองใจค่ะ เห็นมีคนบอกว่าเน้นเรื่องกิจกรรมและการเรียนในห้อง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเท่าไหร่ พูดถึงก็พูดแต่ว่าอ่อ มหาลัยสวยดี -..-

             ส่วนมากที่มีแต่คนแนะนำเราเลยก็คือ ยอนเซกะซอกังค่ะ สูสีกันมากกกกกก ซองกยุนกวาน เราชอบส่วนตัวค่ะ เห็นเป็นมหาลัยเก่าแก่ และมีคอร์สสำหรับสอบเข้ามหาลัยที่เกาหลี และเคยอยู่ในโปรแกรมเรียนภาษาของเด็กทุน เลยสนใจ อีกที่ที่สนใจคือ มหาวิทยาลัยดงกุกค่ะ เนื่องจากเราอยากเรียนต่อโทคณะที่มหาลัยนี้ เลยคิดว่าถ้าเรียนภาษาที่นี่คงสามารถยื่นต่อโทได้ง่ายกว่าเพราะเป็นมหาลัยเดียวกันค่ะ

เอาล่ะ มาดูแต่ละมหาลัยกันบ้างว่ามีคอร์สและโปรแกรมการเรียนอย่างไรบ้าง

1. มหาวิทยาลัยยอนเซ (Yonsei University)
    หาข้อมูลได้ที่ Yonsei University Korean language Institute
    อีเมลล์สอบถามที่ yskli@yonsei.ac.kr

            มหาลัยยอนเซถือเป็นมหาลัยอันดับต้นๆของเกาหลี ถ้าพูดถึงเรื่องภาษาละก็ ถือเป็นอันดับ 1 
ของเกาหลีเลยก็ว่าได้ค่ะ มีการเรียนที่เข้มงวด เรียนค่อนข้างหนัก การบ้านเยอะค่ะ 
เน้นแกรมม่าสุดๆ ไวยกรณ์แน่กว่าที่ไหนๆ หลายคนแนะนำให้เรียนที่นี่คะ 
ทุกครั้งที่ถามทุกคน จะต้องมีมหาลัยยอนเซอยู่ 1 ในมหาลัยที่คนเกาหลีแนะนำให้เรียนภาษาค่ะ 
แต่จากที่ถามหลายๆคน มหาลัยนี้เรียนแล้วดีจริง แต่ค่อนข้างเน้นไวยกรณ์ 
การเรียนหนักและค่อนข้างน่าเบื่อค่ะ เพราะทุกอย่างเคร่งมาก ทุกคนมาเพื่อเรียนค่ะ 
คนที่เรียนส่วนมากจะเป็น คนเอเชียค่ะ จีน ญี่ปุ่นประมาณ 80% ยังไงก็โดนยอมรับว่าเป็นมหาลัยที่สอนภาษาอันดับ 1 ถ้าใครไม่รู้จะเรียนที่ไหน ขี้เกียจหาข้อมูลก็ที่นี่เลยค่ะ 5555 
และสำหรับคนที่ต้องการต่อปริญญาที่ประเทศเกาหลรโดยต้องเรียนเป็นหลักสูตรภาษาเกาหลี 
มีการทำวิจัย เขียน thesis ก็ขอแนะนำให้เรียนที่นี่เลยดีกว่าค่ะ 
เพราะเขาค่อนข้างละเอียดและแบบเรียน หนังสือเป็นที่ยอมรับในหลายๆที่ค่ะ 
ที่ไทยส่วนมากก็ใช้แบบเรียนของยอนเซค่ะ ขนาดนักเรียนที่เรียนที่ มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล 
ยังบอกให้มาเรียนภาษาที่นี่เลยค่ะ (แต่ถ้าใครที่ทนความน่าเบื่อไม่ไหว ไม่แนะนำนะคะ 
หรือใครที่อยากมาเรียนเพื่อเอาไว้ใช้ทั่วไป ใช้ไนชีวิตประจำวันมากกว่า เรียนชิลๆไม่ได้กะจะต่อหลักสูตรเกาหลีก็ไม่แนะนำค่ะ)



สาขาที่เปิดสอน
>>หลักสูตรปกติ (Regular Program)
      การอบรมภาษา และวัฒนธรรมเกาหลีหลักสูตรปกตินั้น ใน 1 ปีเปิดสอนทั้งหมด 4 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 10 สัปดาห์ โดยนักเรียนทุกคนจะต้องสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาเกาหลีก่อน(ทางมหาวิทยาลัยจะ เป็นผู้ทำการทดสอบ) จะแบ่งเป็น 6 ระดับ ระดับละ 1 เทอมค่ะ ถ้าจะเรียนทั้ง 6 ระดับก็ 6 เทอมค่ะ ประมาณ 1 ปีครึ่งด้วยกัน ตั้งแต่ระดับต้น ถึงระดับสูง เรียนตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลา 9:00 - 13:00น. หรือ 13.40 - 17.30 (ห้องเรียนละประมาณ 12 คน) หลักสูตรนี้จะเป็นหลักสูตรที่เป็นที่นิยมค่ะ คนส่วนมากจะเรียนหลักสูตรนี่ค่ะ
>> นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรภาคค่ำสำหรับคนทำงาน หลักสูตร 3 สัปดาห์ หลักสูตร advance สำหรับคนที่จบคอร์สธรรมดาแล้วต้องการเรียนเพิ่ม หลักสูตรซัมเมอร์ หลักสูตรมหาวิทยาลัย อันนี้จะสำหรับคนที่วาแผนจะเรียนต่อมหาลัยที่เกาหลีค่ะ จะเรียนวันละ 6 ชั่วโมงค่ะ คอร์สนี้จะสามารถจบภายใน 1 ปี แต่ต้องเรียนตามตารางที่กำหนด จะมาสมัครกลางเทอมไม่ได้นะคะ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ลิ๊งด้านบนที่เราแปะไว้นะ
หรือสามารถสอบถามได้ที่ EMAIL ค่ะ


ตารางของแต่ละเทอม



 ค่าเล่าเรียนและค่าสมัคร

ราคาประมาณ 1,800,000 KRW พอเห็นภาพคร่าวๆ แล้วนะคะ จริงๆแล้วการเรียนภาษาของแต่ละที่จำนวนชั่วโมงเรียนมีความคล้ายกันค่ะ รวมถึงราคาด้วย แต่ที่ดูมายอนเซจะแพงที่สุดนะคะ 


2. มหาวิทยาลัยซอกัง (Sogang University)
    หาข้อมูลได้ที่ KLEC
    อีเมลล์สอบถามที่ ckss@sogang.ac.kr

            สำหรับซอกังนี่ถือว่าเด่นเรื่องภาษาเหมือนกันค่ะ เพราะหลายคนก็ได้ไปเรียนที่นี่ 
ซอกังจะเน้นเรื่องการพูดค่ะ พูดมันทั้งคลาสค่ะ คือเรียนจากที่นี่แค่คอร์สเดียวก็สามารถพูดได้ค่ะ 
ใช้ชีวิตได้ค่ะ ฟังออก แต่แกรมม่าอาจจะยังไม่เป๊ะพอ 
ที่นี่จะเรียนแกรมม่าผ่าน writing นะคะ วิชา writing จะแกรมม่าเป๊ะพอสมควรค่ะ 
คอร์สก็เหมือนๆยอนเซเลยค่ะ เรียนวันละ 4 ชม. 5 วัน ทั้งหมด 200 ชั่วโมง
ที่นี่ก็มีคอร์สพิเศษ คล้ายๆยอนเซคือ KGP(Korean for General Purpose)200 
คือทั่วไปและคอร์ส KAP(Korean for Academic Purpose)200 สำหรับเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ 
ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจค่ะ มีวิชาพิเศษอย่าง Topik สำหรับเตรียมตัวสอบด้วยค่ะ 
และวิชา writing เวลาเขียน introduced yourself ค่ะ

สำหรับคอร์ส KAP200


คอร์ส KGP200
คอร์สนี้มี level 7 เพิ่มมาด้วยนะคะ

ค่าเรียนทั้ง 2 คอร์สราคาเท่ากันค่ะ คือ 1,620,000 KRW ค่ะ

              ที่ซอกังน่าสนใจดีค่ะ น่าเรียนเพราะมีวิชาพิเศษเยอะด้วยถือว่าน่าเรียนมากค่ะ และที่ดีกว่าคือ สำหรับใครที่อยากเรียนต่อที่มหาลัยนี้นะคะ ถ้าเข้าอบรมภาษาถึงระดับ 3 สามารถเรียนต่อที่นั่นได้โดยไม่ต้องสอบวัดระดับภาษาของมหาลัยด้วยค่ะ เริ่ดดดด แต่เฉพาะที่จะเข้าเรียนต่อของมหาลัยนี้เท่านั้นนะคะ เราไม่แน่ใจว่าที่อื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า


3. มหาวิทยาลัยซองกยุนกวาน (SKKU)
    หาข้อมูลได้ที่ KoreanSLI
    อีเมลล์สอบถามที่ koreaneng@skku.edu

              ซองกยุนกวานเป็นมหาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเหมือนกันนะคะ และในโปรแกรมของทุน KGSP บางที่ก็มีมหาลัยนี้ในโปรแกรมเรียนภาษาของเด็กทุนด้วยค่ะ ไม่แน่ใจว่าปีนี้จะมีไหม ต้องรอดูประกาศค่ะ ซึ่งถ้าเรียนจะเรียนที่เมืองซูวอนค่ะ ห่างจากโซลประมาณ 45 นาที ถือว่าไม่นานนะคะ ค่าเรียนก็แพงพอๆกันค่ะ 555 ที่นี่ ข้อดีคือมีคอร์สแบบเรียน 6 ระดับในระยะเวลา 1 ปีคือเรียนหนักไปเลยค่ะ สำหรับคนที่รีบเรียนค่ะ เป็นคอร์ส 6 Session ใน 1 ปีค่ะ เรียนมันไปเลยค่ะ Level 6 ใน 1 ปี ที่อื่นนี่ 1 ปีครึ่ง - 2 ปี นะคะ ที่นี่เรียน 5ชม.ต่อวัน = 8 สัปดาห์ต่อเทอมค่ะ

เปรียบเทียบระหว่างการเรียนทั้ง 2 แบบค่ะ

การเรียนที่นี่เรียน 5 ชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละ 5 วันค่ะ ใช้เวลาเรียนเทอมละ 8 อาทิตย์เท่านั้นคะ ทั้งหมด 200 ชั่วโมงปกติ แต่การเรียนจะค่อนข้างเร็วค่ะ ประหยัดเวลาไป 2 อาทิตย์แหนะ จบได้ง่ายๆภายใน 1 ปีค่ะ พอครึ่งปีก็ไปสอบ topik ได้เลยนะคะ ฮ่าๆ


รายละเอียดคอร์สค่ะ

              ค่าเรียนรวม 1,522,000 KRW ถือว่าถูกกว่าซอกังและยอนเซนะคะ แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ต่างกันมากค่ะ ที่นี่เรียนหนักมากนะคะ จะบอกว่าไม่สบายค่ะ เรียนเยอะเรียนเร็ว แต่หลุดอาจมีซ้ำชั้นเป็นได้ค่ะ เราเคยเจอคนที่เรียนที่นี่แล้วซ้ำชั้นนะ โฮกกกกกกก 55555 ถ้าจะเรียนแบบตั้งใจให้ไปอยู่นอกเมืองที่ซูวอนไปเลยค่ะ 555



4. มหาวิทยาลัยดงกุก (Dongguk University)
    หาข้อมูลได้ที่ interlangen
    อีเมลล์สอบถามที่ klc@dongguk.edu

               เนื่องด้วยคณะที่อยากเข้าอยู่ที่มหาลัยนี้ ทำให้คิดว่าการเรียนภาษาที่นี่น่าจะช่วยให้เราสามารถเข้ามหาลัยนี้ได้มากกว่าค่ะ และอาจจะเหมือนกรณีซอกังคือเรียนแล้ว เข้าอบรมภาษาแล้วอาจจะไม่ต้องสอบวัดระดับภาษาที่นั่นถ้าจะเรียนต่อ อิอิ
นี่คือข้อดีแค่นั้นแหละค่ะ เหอๆ เพราะการเรียนการสอนนี่ปกติทั่วไปมากค่ะ เหมือนๆพื้นฐานของทุกมหาลัยค่ะ ฮ่าๆ ค่าเรียนพอๆกะ ซองแดนะคะ 
หลายๆคนแนะนำเราว่าถ้าอยากเข้ามหาลัยไหนให้เรียนภาาาที่มหาลัยนั้นค่ะ แต่ว่าเราก็แอบกลัวนะคะว่าเรียนไปแล้วเข้ามหาลัยเขา แล้วถ้าเราเรียนโทไม่รู้เรื่องล่ะ!!! ฮ่าๆๆ
เลยขอไปที่แม่นๆ แน่นๆ ชัวร์ๆดีกว่าค่ะ



                ทีนี่หลังจากการค้นคว้ามา จะเรียนที่ไหนละคะ สรุป ฮ่าๆๆๆ หาข้อมูลมาเยอะมาก หลายๆคนอาจจะเห็นว่าค่าเรียนนั้นแพงเหลือเกินไม่ไหวหรอก แนะนำให้เรียนนอกเมืองสำหรับคนงบน้อยนะคะ ที่มีคนแนะนำเยอะๆเช่น Kiemyang Univ, Daegu Univ,Inha Univ,Ajou Univ และอื่นๆ อย่าง 2 ที่แรกที่กล่าวมานี่ค่าเรียนตกเทอมละประมาณ 1 ล้านวอนค่ะ ถูกกว่าตั้ง 5 แสนแหนะ ส่วนที่พัก ถ้านอกเมืองแน่นอนว่าถูกกว่าอยู่แล้วค่ะ ทั้งค่าอยู่ค่ากินแถมได้โฟกัสไปที่การเรียนเลยค่ะ

                ทั้งนี้ทั้งนั้น การสอนภาษาของแต่ละที่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากมายหรอกค่ะ มันอยู่ที่ตัวเราด้วยว่าจะรับแบบไหน รับได้แค่ไหน มีความตั้งใจแค่ไหน มันก็เหมือนเวลามีคนต่างชาติมาถามเราอะแหละค่ะว่า แกๆ เรียนภาษาไทยที่ไหนดีอ่ะ? เราก็คงคิดว่า เรียนที่ไหนก็เหมือนกันแหละ เรียนไปเหอะ สุดท้ายถ้าเมิงไม่ใช้ในชีวิตประจำวันก็พูดไม่ได้อยู่ดีป้ะ 55555 และคนส่วนมากคิดไม่ออกก็จะตอบว่าอะไรคะ เรียนที่จุฬาสิแกรรร (คุ้นๆเนาะเหมือนเวลามีคนเกาหลีให้เราไปเรียนที่ยอนเซ 555555)


 ส่วนตัวนะคะ คิดว่าจะเรียนที่ไหน ก็ยังตัดสินใจไม่ได้เลยค่ะ TT TT 
ต้องมาดูว่าเราเหมาะกับอะไร อยากเรียนแบบไหน 
คิดว่าตัวเองเรียนแบบไหนแล้วจะสามารถเข้าใจได้ 
และมีความสุขกับการเรียน อะไรแบบนี้ 
ซึ่งอ้างอิงจากการเรียนภาษาอังกฤษของเราก็ได้ค่ะ 
อย่างเราเนี้ย ชอบพูดค่ะ พูดมากก ฟังได้ แต่แกรมม่า การอ่าน การเขียนนี่ไม่ค่อยได้ค่ะ 
ในการเรียนเอาเข้าจริงๆน่าจะเน้นอ่านกะเขียนมากกว่าเหมือนกัน 
พวกคำศัพท์ การใช้ เยอะไปอีก พูดมาทั้งหมด ตอนนี้ค่อนข้างเอียงไปทาง
ซองกยุนกวาน เพราะหลักสูตรมันไปเร็วดี
เราอาจจะยังไม่ค่อยมั่นใจ 2 เทอมแรกอาจจะเรียนที่ซองกยุนกวาน 
แล้วค่อยย้ายไปเรียนที่อื่นต่อค่ะ  


วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกันเนาะ เขียนอะไรได้ยาวเบอร์นี้ ตู้หูวววว ฮ่าๆๆ
โพสหน้ามาใหม่จะมาพูดเรื่องค่าใช้จ่ายในการไปเรียนที่เกาหลีค่ะ งานนี้มีกรี๊ดอ่ะ
มีเงินเท่าไหร่ถึงจะไปเรียนได้? ที่พักเป็นยังไง? พักหอในหรือหอนอกดี?
อาหารการกินล่ะ? เพื่อนต่างชาติ? และอื่นๆ?

สำหรับใครที่มีแผนจะไปเรียนเกาหลีภายในปีนี้ หรือใครเคยไปเรียนแล้วมาอ่านแล้วเราเขียนข้อมูลขาด เกินหรือปิดไป สามารถแจ้งได้นะคะ มีอะไรคุยกันได้หลังไมค์น้า ตามไปที่ 

twitter TWITTER
อย่าลืม like Facebook Fanpage กันน้า monsterinkorea

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

KGSP ช้ำเลือดช้ำหนอง

สวัสดีค่าาาา ทุกคนน

บอกข่าวเรื่องทุนค่ะ สุดท้ายยยยยยยก็ประกาศมาแล้ววววว รอบสองงง
กรี๊ดดดดดด

ผลคือออ


ไม่มีชื่อกรูค่ะ ท่านผู้โช้มมมมมมมม 55555555

ตามนั้นค่ะ ร้องไห้ไป 2 ชม. แล้วก้หยุดค่ะ
เลิกเสียใจ ทำใจได้แล้วค่ะ เร็วเว่อร์อ่ะะะ 55555

ตอนแรกก็รู้สึกท้อแท้มากมายค่ะ แบบหลายอารมย์มากที่มีตอนนั้น
ร้องไห้เพราะทั้งเสียใจ ทั้งโมโห ทั้งหงุดหงิด เครียด กลัว อะไรไม่รู้เต็มไปหมด ใครมาสะกิดไม่ได้เลยนะคะ น้ำตาแตกค่ะ 5555

กลับบ้านมา เจอพ่อ ร้องไห้ โดนด่าอีกข่าาาาา
พ่อบอกว่า ร้องให้ตายก็ไม่ได้หรอกทุนอ่ะ ร้องทำไม บลาๆๆๆๆ
สรุป ห้ามร้อง ห้ามเสียใจค่ะ จบ
อีกอย่างเราก็ไม่เห้นว่าการเสียใจจะมีประโยชน์ยังไง
ชีวิตเราต้องก้าวเดินต่อไปค่ะ เรามีทางเลือกเสมอ เราไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุดในโลกสักหน่อย
อย่างน้อยเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ผ่านมาได้ขนาดนี้ก็ภูมิใจแล้วค่ะ
อีกอย่างเสียใจไปพ่อแม่เราก็เสร้าด้วย สู้มาตั้งใจกันใหม่ รีบหาทางใหม่ จะได้ไม่เสียเวลาไปวันๆค่ะ

เราโชคดีที่พ่อแม่อยากให้เรียนต่ออยู่แล้ว กะจะส่งเรียนอยู่เลย
พ่อเลยถามว่าอยากเรียนที่ไหน พอเราบอกอยากเรียนเกาหลีพ่อก็บ่นๆๆๆค่ะว่า
ชอบอะไรเกาหลี บ้ามันมาก บ้าเกาหลี บ้าดารา ใช่ไหมเลยจะไปเรียนที่นี่
แต่แม่เราอยากให้เราเรียนที่เกาหลีเพราะใกล้มือใกล้ตีนค่ะ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ และมีโอกาสได้ภาษาด้วย ได้ทำงานด้วย (เพราะเราเคยมีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทเกาหลีและตอนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ค่ะ ทำให้มีคนรู้จักเป็นบริษัทใหญ่ๆที่เกาหลีเยอะค่ะ ทั้ง CJ E&M, Yg Ent, JYP, SBS และสื่อต่างๆที่เกาหลีด้วย ทำให้อาจได้ทำงานที่นั่น)

และคณะที่เราเลือกเรียน คือไปทางด้าน Digital Convergence ค่ะ คล้ายๆ Digital Markenting, digital communication อยู่ในสายนิเทศค่ะ เราลองหาคณะนี้ที่อังกฤษไม่มีสอนค่ะ ที่อเมกามีค่ะ แต่พ่อก็ไม่อยากให้ไปอเมกาอีกเพราะอันตรายค่ะ (สรุปใครเรียนคะเนี้ย) 55555 แต่เราเข้าใจพ่อเรานะ เขาก็เป็นห่วงเรา กลัวเราไปเรียนกลับมาไม่มีงานทำ ดูแลตัวเอง เลี้ยงตัวเองไม่ได้ เรื่องเงิน ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อค่ะ คือพ่อเรารักลูกมากสุดท้ายไม่ว่าเงินจะเยอะขนาดไหน เขาก็จะหามาให้ลูกเรียนให้ได้ค่ะ ซึ้งใจมาก TT TT
เราเลยคิดว่าเราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเราต้องเรียนให้ได้ และต้องเรียนได้ดีด้วยค่ะ

ส่วนเหตผลที่เราขอพ่อคือ เราอยากได้ภาษาอีกภาษาด้วยค่ะ เพราะภาาาอังกฤษเราพอสื่อสารได้ เข้าใจ ติดต่องานได้ คุยธุรกิจได้ค่ะ แม้ว่าศัพท์จะไม่ทางการมากถึงขั้นอ่านข่าว หรือแกรมม่าเป๊ะขนาดเรียนนอกนะ แต่คิดว่าสามารถใช้ทำงานได้ค่ะ เลยอยากได้อีกภาษา เนื่องจากเป็นคนสนใจเกาหลี ชอบมันอยู่เลย เลยอยากเรียนที่นี่ค่ะ มี passion มีแรงบันดาลใจ ส่วนวิชาที่เรียนมันค่อนข้างเฉพาะทาง สำหรับเราและจากการหาข้อมูลจากคนที่อยู่ในวงการ คนที่เรียนต่อนอกมากมาย สรุปได้ว่า

เรื่อง digital เกาหลีเร็วกว่าอเมกาอีกนะ เรื่อง VR & Digital communications เค้าบูมมาหลายปีแล้วมีอะไรให้เรียนรู้เยอะมาก แล้วยังมีเรื่องการเอา social media มาผสานกับการวัดเรตติ้งหน้าจอ ซึ่งตอนนี้เมืองไทยเพิ่งพยายามจะทำ +  การไปเรียนเกาหลีจะได้เรียนรู้ถึง behaviour ของ คนเอเชีย + digital technology แล้วเอามา adapt ใช้กับเมืองไทยได้ง่ายกว่าไปเรียนยุโรป/เมกา แถมถูกกว่าด้วย

ประโยคสุดท้ายสำคัญค่ะ มันถูกกว่า!!! ฮ่าๆๆ
ไฟท์กะพ่อจนโอเค พ่ออนุมัติค่ะ วะฮ่ะฮ่าาา พอพ่อโอเคยอมให้ไปเรียน เลยคุยกันค่ะว่า ไปเรียนภาษาก่อนแล้วลองขอทุนอีกปีแบบยื่นคะแนนภาษาด้วย แปลว่าตอนเรียนภาษาต้องตั้งใจมากๆค่ะ แต่ในความอนุมัตินั้น ก็แอบบมีความลังเลเหมือนจะไม่ให้เรียนอยู่เล็กเลยคิดว่าต้องรีบจัดการสมัครและรีบทำทุกอย่างให้เสร็จก่อนนางจะเปลี่ยนใจค่ะ

จานั้นเริ่มหาข้อมูลของมหาลัยที่มีสอนภาษาต่างๆค่ะ ทั้งถามจากคนที่เคยเรียนบ้าง หาข้อมูลเองบ้าง
ถามในกรุ๊ปต่างๆในเฟสบ้าง ถามพวกนักเรียนทุนบ้างด้วยค่ะ

เดี๋ยวจะอธิบายเรื่องความแตกต่างของมหาลัยในโพสต่อไปนะคะ

ตอนนี้ก็เริ่มอีเมลล์ไปถามรายละเอียดกับหลายๆมหาลัยแล้วค่ะ ได้รับการตอบกลับมาหลายมหาลัยเลยทีเดียวค่ะ ที่สนใจตอนนี้ก็มี ยอนเซ ซอกัง ซองกยุนกวาน และดงกุกค่ะ (อะไรจะเยอะขนาดน้านนนนน) 5555

ดูเรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใจ ระยะเวลาในการสมัคร การเรียน สอบ ดูเวลาว่าถ้าเรียนตอนนี้จะจบตอนไหน ทันยื่นทุนหรือเปล่า ประเด็นคือ ที่ยอนเซ เรียนช่วง summer ปิดรับสมัครแล้วค่ะ ซอกังก็สมัครยากมาก สงสัยต้องผ่านเมลล์อย่างเดียวค่ะ ดงกุกก็สามารถสมัครได้เลยค่ะ เหมือนเขาอยากให้เราไปเรียนมากค่ะ ฮ่าๆๆ ที่สำคัญ เราอยากต่อโทที่ม.ดงกุกค่ะ เลยคิดว่าเรียนภาษาที่มหาลัยดงกุกจะมีโอกาศสอบเข้าโทได้มากกว่า เพราะเราอาจจะไม่ต้องสอบ topik ค่ะ หากเราเรียนอบรมภาษาถึงระดับสามในมหาลัยนั้นๆค่ะ ถือว่าน่าสนใจทีเดียว แต่ก็กลัวว่าเรียนภาษาไปแล้วพอไปเรียนโทจริงๆไม่เข้าใจ เลยอยากเรียนที่แกรมม่าแน่นๆ สอนดีๆ ไปเลยค่ะ

ส่วนมากมหาลัยจะเปิดให้รับสมัครถึงปลายเดือนมิ.ย ค่ะ เริ่มเรียนช่วง fall ประมาน กันยายน ค่ะ
ถ้าจะยื่นทุนก็ มีนาปีหน้า อาจจะเรียนได้แค่ 2 ระดับค่ะ ><

คือถ้าอยาก Exemption ภาษาเกาหลีสำหรับทุน ต้องสอบให้ได้ระดับ 5 ขึ้นไปค่ะ กรี๊ดแปรปปปป 555555
เลยคิดว่าไปเรียนภาษาสอบไม่ทันแน่ๆค่าาาา คงได้แค่เลเวล 3 อาจจะต้องเสียเงินเรียน  โธ่~~ เส้าแปป

นอกจากจะรีบเรียนภายในมิถุนายนค่ะ อย่างมากก็ได้แค่ระดับ 4 ไปอีก 5555
สรุปคือมีสิทธิไม่ได้ทุนค่ะ ฟัคยูววววววววววว

แต่บางหมาลัยก็มีทุนสำหรับผู้ที่เรียนดีนะคะ มหาลัยจะออกค่าเรียนให้ค่ะ อย่างน้อยก้ 30% ค่ะ
เลยคิดว่าเรียนให้ดีแล้วเอาทุนจากมหาลัยดีกว่าค่ะ เพราะเราไม่อยากเสียเวลานานๆไปต่างประเทศค่ะ ไม่ใช่แค่เสียเวลาค่ะ เสียเงินไปอีกก Beyond สุดๆค่ะ เย้ 5555555

พักเรื่องเครียดไว้ก่อนดีกว่า
มาหาที่เรียนและสมัครภาษาให้รอดก่อนดีกว่า ฮ่าๆๆ

เดี๋ยวโพสต์หน้าจะมาอธิบายแต่ละมหาลัยนะคะ ว่าแตกต่างกันยังไง ซึ่งเอาจิงๆ แต่ละมหาลัยมีดีไม่เหมือนกันค่ะ แล้วแต่ว่าคนชอบเรียนแบบไหน (เบื่อคำตอบแบบนี้สุดๆค่ะ)

แล้วเจอกันโพสต์หน้าน้าาาา

อันยองงงง

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การรอคอยที่แสนทรมานกับทุนเกาหลี!!!

หลังจากเวิ้นเว้อกับตอนรอบแรกของทุนเกาหลี ตอนนี้เราก้ขอมาเวิ้นกันต่อกับรอบที่สองที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ ขุ่นห์พระ!! ไม่น่าเชื่อว่าเราจะทนกับการรอคอยได้ยาวนานขนาดนี้ได้ ตอนนี้เริ่มป่วงๆแล้ว ผ่านการเครียดกับการรอคอย ตอนนี้มาเครียดที่ว่า ถ้าไม่ได้ทุนล่ะ ชั้นจะทำอย่างไร? ชั้นจะไปอยู่ไหน?
นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ซีเรียสกว่าตอนรอประกาศอีก เป็นสิ่งที่เราลืมคิดไป ใช่ว่าการผ่านรอบแรกแล้วจะสบาย แถมทุกวันนี้อาการติ่งแตกก็กำเริบอย่างรุนแรง 5555

อยู่ดีๆ ทวิตเตอร์ก้โกลาหลค่ะ ทั้งคอนเสิร์ต got7 BAP IKON BTS บลาๆๆ กระพือๆกันเข้ามาใหญ่
ยิ่งช่วงที่มีข่าวคอนเสิร์ต IKON ออกมา ทำให้เลิกเครียดเรื่องการรอคอยทุนไปในทันใด 55555 ทุกคนกำลังคิดว่าเด็กที่มันขอทุนเกาหลีคงเป็นติ่งกันหมดสินะ? เอ่อ ก็ส่วนนึงนะ ยอมรับว่าเราเนี้ยแหละติ่งเกาหลี ทำให้มีแรงพลักดันในการขอทุน มันถือเป็นข้อดีใช่ไหม? 5555 เราว่าดีนะ เพราะทำให้เรามีอนาคต อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าได้ทุนแหละวะ (เดี๋ยวๆ ยังไม่ได้) เราไม่ได้ติ่งพร่ำเพรื่อ ติ่งไร้สาระ หรือติ่งจนทำงานไม่ได้ ไม่เรียน ไม่หาเงินนะ ติ่งเนี้ยตัวทำงานหาเงินเลยค่ะ 55555 ก้ถ้าไม่มีเงินก็ติ่งไม่ฟินอ่ะสิ

โอเคค ลากมาเรื่องติ่งสะยาวยืด เอาเป็นว่า พรุ่งนี้แม่งประกาศผลแระ เสียวสุด และเครียดด้วยเพราะถ้าไม่ได้เท่ากับตัน เราต้องเสียเวลาเรียนไปอีก 1 ปีเพราะคงต้องไปเรียนอเมกาไม่ก้อังกฤษแน่นอน และเราจะไม่ขอทุนเป็นครั้งที่ 2 กับเกาหลีอยู่แล้ว 55555 พ่อแม่ก็คงไม่ส่งให้ไปเรียนที่เกาหลี เพราะถ้าจะส่งทั้งที พ่อแม่เราขอส่งไปประเทศฝั่งยุโรปดีกว่า ไม่ได้ดูถูกนะคะ แต่มองความเป็นจริงคือ คนประเทศอื่นพูดภาษาอังกฤษได้มากกว่าภาษาเกาหลี ในการทำงานย่อมมีโอกาสมากกว่า อยู่แล้ว แต่ถึงไปเรียนเกาหลี ยังไมก้ต้องใช้อังกฤษแหละ ยิ่งเด็กทุนยิ่งเรียนหนัก ไม่ต้องพูดถึงเวลาการติ่ง ไม่น่าจะมีเหลือ 555555

พรุ่งนี้จะมาอัพเดตอีกที ถ้าเกิดเห็นเราปิดบลอกก้แปลว่า เราไม่ได้ทุนนะคะ 5555