วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560

เรียนภาษาเกาหลีที่ฉันคิด VS ความเป็นจริง

สวัสดีค่า

           มาแล้วเด้อออออออออ หายไปเป็นปี งมอยู่กับภาษาเกาหลีในความเป็นจริงที่แสนปวดร้าวอยู่ค่ะ
ช่างน่าเศร้า

หลังจากที่เราเรียนภาษาเกาหลีมาได้ 1 ปี เราก็ค้นพบว่า

มันไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดเลยอ่ะแกร๊!!!!!!!!!!!!

            หลังจากที่เราตกลงเลือกมหาวิทยาลัย ซองกยูนกวานแล้ว การเรียนค่อนข้างเร็วมากๆเลยค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าปกติเรียนภาษา คอร์สนึงจะ 3 เดือน แต่ที่นี่เรียน 2 เดือนใช่ไหมคะ ดังนั้นเราจะเรียนเร็วมากๆเลยค่ะ

เลเวล 1 เลเวล 2 ยังสนุกอยู่ค่ะ แบบ ว๊าย เรานี่คิดถูกที่มาเรียนภาษาเกาหลีแล้วอ่ะเธอ
ตอนนั้นแบบคิดในใจเห้อเรามาถูกทางแล้วล่ะ เรียนไปก็พูดคุยได้ อ่านป้ายข้างทงได้ นู้นนี่

เรียนที่เกาหลีที่เราไฝ่ฝัน เราต้องเข้ามหาลัยได้แน่เลย
อาจจะมีตรงคำศัพท์ใหม่ๆที่มันงงๆ เอาวะ ก็แค่ท่องศัพท์ จำศัพท์เอาก็ได้แล้ว อะไรแบบนี้
เพราะส่วนมากในบทควมที่เราไม่เข้าใจจะเป็นศัพท์ค่ะ


แต่.......มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ

พอเลเวล 3 เท่านั้นแหละค่ะ.....................


เลเวล 3 ของที่นี่ยากมากๆๆๆค่ะ คือถ้ไม่ตั้งใจเรียนก็ตายสถานเดียวนะคะ
แล้วเราก็ตายค่ะทุกท่าน กลับมาสู่ความจริงนะจ้ะ มันไม่ได้เหลือแค่ศัพท์ที่เราต้องจำจ้าาาาาาา

เรียนเลเวล 3 ไป
ซ้ำชั้นค่ะ

โอโหหหหหห ตอนที่รู้ว่าซ้ำชั้น เราแบบ เห้ย มันดูรุนแรงมากเลยอ่ะค่ะ
แบบในชีวิตนี้เรียนมาตั้งแต่เด็กเราไม่เคยซ้ำชั้นเลยนะเว้ย แต่มาเรียนเกาหลีคือซ้ำชั้น
ทำยังไงดี ไม่นะ เครียดมากค่ะ

แต่นะ ในห้องเราคนซ้ำชั้นประมาณครึ่งห้องอ่ะค่ะ

คือที่นี่คะแนนสอบต้องมากกว่า 70 เปอร์เซนต์ ค่ะถึงจะผ่าน การสอบจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ แกรมม่า กับฟังพูดค่ะ  โดยทั้ง 2 ส่วนเราต้องสอบให้ผ่าน 70 เปอร์เซนต์นะคะ ถ้าเกิดเราเก่งแกรมม่ามากๆๆๆๆ ได้ 90 แต่ฟังพูดได้ 60 ก็ตกนะคะ ต้องซ้ำค่ะ

ในส่วนเราก็เหมือนกันค่ะ ฟังพูดผ่าน แต่แกรมม่าตกค่ะ

ตอนนั้นเฟลมากเลยค่ะ เฟลจริงๆ แบบไม่อยากเรียนต่อแล้วค่ะ รู้สึกแย่มาก อยากกลับบ้าน
แต่พอมาคิดดูแล้ว มันก็เป็นเพราะเราเองที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เป็นเพราะภาษาเกาหลีเลย
คือภาษามันยากค่ะ ใช่ แต่เราเองก็ยังตั้งใจไม่พอ
เลยคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องสู้นะ อย่ายอมแพ้ ซ้ำชั้นช่างแม่ง เรียนต่อไปค่ะ
คิดในแง่ดีคืด เออ ถือว่าได้ทบทวนจะได้เข้าใจมากขึ้นค่ะ

สรุปซ้ำชั้นไปค่ะ ทำใจยอมรับ

ทีนี่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับอีกคือ ใช่ว่าเรียนเลเวล 3 แล้วสอบโทปิกจะได้เลเวล 3 นะคะ
เราลองสมัครสอบค่ะ (รายละเอียกกรสมัครสอบโทปิกเดี๋ยวเรามาโพสต์นะคะ)

ไปสอบที่มหาวิทยาลัย ดงกุกค่ะ
แม่งเอ้ย

ยากโคตรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร

อ่านไม่รู้เรื่องสักตัวค่ะ ฟังไม่รู้เรื่องสักนิดค่ะ
ฟัคยูววววววว

ผลสอบ ได้เลเวล 0 ค่ะ
555555555555555

คือเราสอบโทปิค 2 ค่ะ มันเป็นของระดับ 3-6 ค่ะ
คะแนนเราไม่ถึงระดับ 3 ก็คือโดนตัดไปเป็นระดับ 0 เลยค่ะ

ตอนนี้แผนเปลี่ยนหมดเลย

  1. จากตอนแรกเราจะยื่นเข้ามหาลัยกันยายนปีนี้ เปลี่ยนเป็นต้องยื่นมีนาคมปีหน้า 
  2. ระยะเวลา 1 ปี เรียนโทปิกให้ถึงเลเวล 6 น่าจะสอบให้ผ่านเลเวล 3-4 ก็กลายเป็นตอนนี้เรียนถึงแค่เลเวล 5 สอบยังไม่ได้เลเวล 3เลย
  3. จากที่คิดว่าโทปิดเลเวล 3 โดยปกติขั้นต่ำเลเวล 3 คือเข้ามหาลัยได้ แต่คณะที่เราจะเข้าดันพิเศษค่ะ พอได้มีโอกาสถมทางมหาวิทยาลัย ไปดูคณะของดงกุกที่จะเข้า คือคณะ digital convergence ต้องใช้โทปิกเลเวล 5 ขึ้นไป เท่านั้นค่ะ ถ้าได้ต่ำกว่านี้ไม่มีสิทธิเข้าค่ะ
  4. การใช้ชีวิตคนเดียวปัญหาค่อนข้างเยอะค่ะ ยิ่งเราอยู่ในประเทศที่เขาไม่พูดภาษาอังกฤษแล้วด้วย......
  5. สำหรับเรา การดูวาไรตี้และรายการต่างๆรวมถึงซีรี่ย์บางเรื่องของเกาหลี ช่วยเรื่องภาษาเกาหลีจริงค่ะ แต่ไม่ช่วงเรื่องการทำข้อสอบค่ะ ต้องซื้อหนังสือมาฝึกทำเหมือนตอนเอนทรานซ์ที่ไทยเลยค่ะ
  6. ถ้าจะเรียนอินเตอร์ ไอเอล 7 ค่ะ เยอะกว่าไปเรียนอังกฤษอีกเด้อ อังกฤษนี่ 6.5 เองนะจ้ะ และเรียนอินเตอร์โทปิกก็ต้องเลเวล 3 ค่ะ อีกอย่างมาเรียนเกาหลี แต่จะเรียนอินเตอร์ก็กลับไเรียนไทยดีกว่า (จุดประสงค์ที่เรามาเพราะด้านที่เราจะเรียน เกาหลีมันค่อนข้างจะโอเคกว่าที่อื่นอ่ะ และเราก็จะต่อยอดการทำงนด้านบันเทิงและ new media อยู่แล้ว ถ้าเรียนอินเตอร์คือบริหาร ไม่เอาดีกว่าค่ะ)


ตอนนี้เราอยู่เลเวล 5 ค่ะ อยู่ในช่วงแบบ
กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง

แบบนี้เลยค่ะ 555555555555



ดังนั้น ใครที่คิดจะมาเรียนที่เกาหลี ก็คิดดีๆนะคะ
เพราะภาษามันยากจริงๆ และที่เรามาเรียนเพราะเราได้ทำงานที่ไทยและได้รู้จักกับบริษัทเกาหลี 
ทำงานคลุกคลีกับเกาหลีมาอยู่แล้ว 
ถ้าเรียนด้านมีเดียและได้ภาษาด้วยเรากลับไปใช้ทำงานต่อได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าเราไม่ได้มีโอกาสได้ทำงานกับเกาหลี เราก็คงไม่มาเรียนที่นี่ค่ะ คงไปเรียนอเมริกาไม่ก็อังกฤษดีกว่าอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนภาษาตั้ง 1 ปีแหนะ ฮ่าาาาาาาา

วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวเขียนเยอะไปจะขี้เกียจอ่านกัน 55555
ใครมีคำถมเม้นทิ้งไว้ได้นะคะ หรือถ้าจะตามมาที่เพจหรือทวิตเตอร์เราก็ได้ ทวิตเตอร์เราก็จะติ่งๆหน่อยๆอ่ะค่ะ 5555555555555 ทักมาอาจจะตอบช้าบ้างเพราะแอพมือภือเรามันไม่ค่อยเตือนอ่ะค่ะ แหะๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ


twitter TWITTER
อย่าลืม like Facebook Fanpage กันน้า monsterinkorea


วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การทำวีซ่าที่ประเทศเกาหลี

ฮัลโหลลลล
         มาแว้วววววว เพิ่งได้อัพ พูดถึงเรื่องการทำวีซ่า ย้อนไปประมาน 6 เดือนที่แล้วได้ TT TT
ในกรณีเรามาทำวีซ่าที่เกาหลีค่ะ ไม่รู้ว่าง่ายกว่าไทยหรือยากกว่านะคะ แต่ว่าถ้าเอกสารไม่มีปัญหา ก็จะได้ทั้ง วีซ่าและเอเลี่ยนการ์ดด้วยด้วยเลยค่ะ

แต่แต่แต่แต่ แนะนำว่าก่อนไปทำวีซ่า ให้หาที่พักที่เราจะพักก่อนไปทำนะคะ การหาที่พักเด๋วเจอตอนหน้าละกันเด้อ

เอกสารที่ต้องเตรียม(ยุ่งยากน้อยกว่าประเทศไทยนะเราว่า)

  1. พาสปอร์ต
  2. สำเนาพาสปอร์ต
  3. เอกสารรับรองทางการเงิน (ของครอบครัวก็ได้ค่ะ) เผื่อไว้ๆ
  4. เอกสารรับรองการเข้าเรียน
  5. ใบเสร็จรับเงินจากทางมหาลัย
  6. แบบฟอร์มยื่นวีซ่า
  7. รูปถ่าย 2 ใบ
  8. สัญญาที่พัก (อ่านเรื่องการหาที่พัก)
  9. ใบตรวจวัณโรค**** (อันนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เอามาจากไทยไม่รับนะจ้ะต้องเฉพาะที่โรงพยาบาลเกาหลีเท่านั้น)
         จริงๆแล้วเอกสารที่เรายื่นไปในตอนแรกเยอะมาก เหมือนตอนที่จะยื่นที่ไทยนี่แหละค่ะ
มีทั้งรับรองอาชีบพ่อแม่ ประกันสุขภาพ หลักฐานการเงิน statement พาสปอร์ตพ่อแม่ letter of guaratee 

        ก่อนที่เราจะไปทำวีซ่าที่เกาหลีนะคะ เนื่องจากเราเรียนที่ SKKU อยู่เขตจงโน จำเป็นต้องจองที่ก่อนนะคะ อันนี้าสำคัญมาก ถ้าไปแต่ไม่ได้จองที่นี่ ไม่ได้ทำนะคะ สามารถเข้าไปจองได้ที่ http://www.hikorea.go.kr ค่ะ 
แต่จะบอกว่าถ้าคุณใช้คอม mac คุณจะไม่สามารถเปิดเวบห่าอะไรของเกาหลีได้เลยจ้า ใครที่ใช้ Mac เช่นเรา ก็มีไว้แค่ใช้พิมพ์งานกะดูซีรี่ย์ ฟังเพลงเท่านั้นจ้ะ (ล้องไห้)
ต้องใช้คอม PC ในการจอง เราเลยไปจองที่ห้องสมุดมหาลัยค่ะ เนื่องจากตอนนี้เราใช้ mac พิมพ์ เราเลยไม่สามารถ แคปตัวอย่างหน้าจอตอนจองมาให้ได้ TT TT แต่ว่าในเวบมีภาษาอังกฤษนะคะ และมีวิธีการจองแธิบายไว้อีกด้วย

เมื่อทำการจองวันที่และเวลาในการไปทำวีซ่าเรียบร้องแล้ว

         เราขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าให้ไปก่อนเวลาสัก 15 นาทีเพราะเกาหลีเขาค่อนข้างตรงเวลามาก ถ้ามาไม่ตรงเวลา ข้ามเลย แล้วถ้าเกิดว่าจองทำไปแล้วไม่มาเกิน 3 ครั้ง จะไม่มีสิทธิในการจองรอบต่อไปนะคะ เพราะฉะนั้น จองแล้วต้องไปนะยูว ต่อให้ไปสายให้โดนด่าแต่ก้ไปแม่งเหอะ (นี่เคยโดนมาแล้วค่ะ)

         ไปถึงปุ๊บเราก็ยื่นเอกสารทั้งหมดทั้งมวลที่คิดว่านางจะใช้ (คือจากที่อ่านของกงศุลที่ไทยคือเมิงให้กูเตรียมเยอะมาก ประหนึ่งเข้าเกาหลีเหนือ)

         พนักงานสาขานี้พูดจีนได้ แต่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะคะ 555555 ถ้าโชคดีเจอครพูดอังกฤษได้ก้ยินดีด้วยค่ะ พอดีเราโชคดี เจอคนพูดอังกฤษได้นิดหน่อย พอยื่นเอกสารไป นางก้ดูๆ เลือกๆ แม่งงงงงงง คือเมิงเลือกแค่ ใบกรอกแบบฟอร์ม สำเนาพาสปอร์ต เอกสารของมหาลัย สัญญาที่พัก ที่เหลือคืนกูหมดเลยจ้า แต่ที่ติดปัญหาคือ!!! ใบตรวจวัณโรคค่ะ เราตรวจมาจากโรงพยาบาลที่กรุงเทพที่เป็นโรงพยาบาลที่กงศุลรับรองแล้วด้วยนะ แต่นางบอก ไม่ได้!!  ยูต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเกาหลีเท่านั้น แล้วนางก็เชียนอะไรสักอย่างเป็นภาษาเกาหลีแล้วบอกว่าไปโรงพยาบาลแล้วยื่นอันนี้ให้เขา สงสัยมานน่าจะเปลว่า ตรวจวัณโรค เพื่อทำวีซ่ามั๊ง (พ่องตาย) สุดท้ายโดนคืนเอกสารมาแบบไม่ได้ห่าไรติดตัวเลยค่ะ 55555555

        กลับบ้านมาก็เริ่มเครียด อิเหี้ยจะไปตรวจที่ไหนวะ มีโรงพยาบาล Seoul national University Hospital อยู่แถวบ้านแต่แพงเหลือเกินจะรับไหว คือกงศุลนางบอกว่า จะไปตรวจห่าเหวที่โรงบาลอะไรก้ได้ ขอแค่อยู่ในประเทศเกาหลี เราเลยเสิจไปเสิจมา เข้า daum map แล้วลองหาคลินิคเล็กๆ ที่มีตรวจวัณโรค เจอโรงพยาบาลของจงโนพอดีค่ะ ซึ่งดูแล้วท่าทางไม่แพง อิอิ เราลองเข้าไปดูในเวบของเขตจงโนดูเพื่อหาข้อมูล เวบจงโน แล้วก้เลยเจอโรงพยาบาลเหมือนจะเป็นคลินิกมากกว่าแถมไม่พูดเกาหลีด้วยนะคะ พอไปถึงแบบงงๆ ยังดีที่ป้ายมีภาษาอังกฤษ

สถานที่อยู่แถวเคียงบกกุงค่ะ




หน้าตาโรงบาลค่ะ


          เข้าไปก็เอ๋อๆ ยื่นใบที่กงศุลเขียนให้ส่งให้เขา เขาก็ขอพาสปอร์ต แล้วก็ให้เรากรอกประวัติ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร บลาๆ เสร็จปุ๊ปก็ให้บัตรคิวมาเลยค่า ไม่ต้องพบหมอทั้งสิ้น เข้าไปสแกนปอดเลย สแกนเสร็จเขาก็จะให้ใบบอกวันที่ให้มารับผล ราคาเบ็ดเสร็จ 1500 วอนจ้า อิห่ากูตรวจที่ไทย 1500 บาท 

         พอรับผลก็จองวันที่ไป immigration office ค่ะแล้วยื่นเอกสาร ตอนนั้นพนักงานเอาแค่
  1. แบบฟอร์มยื่นวิซ่า
  2. รูปถ่าย
  3. ใบตรวจวัณโรค
  4. เอกสารจากมหาลัย
  5. สัญญาเช่าบ้าน
         แค่นั้นเองที่เหลือที่เตรียมมา เอกสารการเงิน ใบรับรองที่ทำงานพ่อแม่ ประกันสุขภาพ คืนมาหมดเลย คือเราคิดว่าทำที่เกาหลีแค่มีเอกสารจากมหาลัยจะง่ายขึ้นค่ะ เพราะตอนเราสมัครเข้ามหาลัยแน่นอนว่าเราก็เตรียมเอกสารยื่นไปเยอะเหมือนกัน กงศุลเองก็คงทราบและสามารถโทรเช็คได้แหละมั๊ง

          เสร็จปุ๊บ เขาก็ให้เราไปจ่ายเงินค่าทำวีซ่ากะค่าทำบัตร Alien Card ค่ะ ราคาแพง(ชิบหาย) แลยจ้า รวมๆแล้วประมาณเกือบ 200,000 วอน ใครที่ไม่อยากเสียตังก็ทำที่ไทยไปนะคะ 555555 แต่ว่าถ้าทำวีซ่าที่ไทย ยังไงก็ต้องมาทำ Alien Card ที่เกาหลีอยู่ดีนะ
          หลังจากนั้นก็เอาใบเสร็จไปให้ที่เค้าเตอร์ เขาจะให้เราสแกนลายนิ้วมือ แล้วให้ใบแจ้งวันที่มารับบัตรค่ะ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย และระกว่าที่เรารอรับบัตรเราห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศเด็ดขาดค่ะ ซื่งตัวเราเองก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วไง พอได้บัตร Aliend Card ปุ๊ป ทุกอย่างคือดีเลยค่ะ ไม่ต้องพกพาสปอร์ตอีกต่อไป!! สมัครสมาชิกเวบก็ได้ เปิดบัญชีธนาคารก็ได้ เปิดเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ กลายเป็นว่ามีทุกอย่างครบเรียบร้อยเหมือนอยู่ประเทศไทยนั้นเอง เฮ!!! แม้จะยุ่งยากหน่อย แต่พอได้บัตรแล้ว ทุกอย่างก็คลี่คลายค่ะ อิอิ

          วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวโพสหน้าเรามาพูดเรื่องการหาที่พักของเราค่ะ ลำไยไม่แพ้กันค่ะท่านผู้ชม 5555 ใครมีคำถามถามทิ้งไว้ได้นะคะ ถ้าว่างจะรีบตอบแน่นอน 

อย่าลืมไปกดไลค์เพจเราด้วยน้า monsterinkorea